หลายครั้งที่นักลงทุนในหุ้นหรือในโครงการใด ๆ มักจะนิยมใช้อัตราส่วนทางการเงินเพื่อตรวจสอบ วิเคราะห์ พยากรณ์ หรือใช้เป็นตัวบ่งชี้ในการชี้วัดความสามารถในด้านต่าง ๆ ของหุ้นหรือบริษัทหรือโครงการนั้นๆ และอัตราส่วนตัวหนึ่งที่มักให้ความสำคัญกันมากตัวหนึ่งก็คือ อัตราผลตอบแทนของการลงทุนที่มีต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลงทุนไป นั่นก็คือ ROE (Return on Equity) ซึ่งก็เขียนออกมาได้ดังสมการก็คือ ROE = กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น *100 เทียบออกมาได้เป็น X.XX % ซึ่งหาดูได้ง่ายจากเวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอำนวยความสะดวกคำนวณไว้ให้พร้อม
โดยทั่วไปนักลงทุนจะเน้นและให้ความสำคัญไปที่ตัวเลขสำคัญอย่าง ROE ซึ่งตัวเลขนี้วิธีดูก็ง่าย ๆ คือยิ่งมากๆ ยิ่งดี อย่างน้อย 12 % ขึ้นไปก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ความจริงที่เราต้องดูละเอียดมากไปกว่านั้นก็คือ ROE นั้น อาจจะสูงโดยเป็นการสูงแบบมีความเสี่ยง หรือว่าอาจจะเป็นการสูงที่มีคุณภาพ คือมาพร้อมกับการบริหารสินทรัพย์อย่างมีคุณภาพควบคู่กันไปด้วย ซึ่งนักลงทุนทั่วไปก็คงอยากได้อย่างหลังนี้มากกว่า
หลักการก็คือ แหล่งที่มาของสินทรัพย์ของกิจการไม่ได้มาจากส่วนของผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียว เราอย่าลืมหลักญชีพื้นฐานเรื่องงบดุลก็คือ แหล่งที่มาของสินทรัพย์ที่กิจการนำไปใช้นั้น ยังมีที่มาจากหนี้สินและส่วนของทุน ดังนั้น ค่า ROE ที่สูงมากๆ เราก็ต้องดูด้วยว่า กำไรสูงจริง หรือว่าส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำมาก แต่ดันมีหนี้สินมากมาย อันนี้ก็ถือว่าเป็นกำไรที่ไม่มีคุณภาพ ถ้าต้องเลือกหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ก็คงขอเลือกหุ้นที่มีหนี้สินน้อย ๆ ดีกว่า น่าจะปลอดภัยกว่า
อีกสิ่งหนึ่งคือ ROA ซึ่งเป็นอีกตัวหนึ่งที่จะมาช่วยเราวิเคราะห์การทำกำไรจากสินทรัพย์ที่บริษัทมีและสามารถช่วยบอกเราได้ว่าบริษัทบริหารกิจการไปอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน ซึ่งการคำนวณค่า ROA คือ return/asset*100 ถ้า ROA สูงขึ้นจากการที่มี Return สูงขึ้น นั่นก็ หมายถึงกิจการมีความสามารถในการทำกำไรจากสินทรัพย์สูงขึ้น และถ้าโครงสร้างแหล่งที่มาของสินทรัพย์ไม่เปลี่ยน (หนี้สิน+ทุน) ไปในทางที่หนี้สินมากขึ้น อันนี้ก็ถือว่าบริษัทสามารถทำได้ดีทั้งการบริหารงาน (สินทรัพย์) และการบริหารผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น (ROE) ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ
แต่ถ้า ROA สูงขึ้นจริงและ อาจเนื่องมาจากสินทรัพย์ด้อยค่าลงตามมูลค่าตลาด หรืออาจโดนตัดค่าเสื่อมราคา) อันนี้ก็ขอให้ทำเครื่องหมายมาร์คเกอร์เอาไว้ครับว่า บริษัทนั้นอาจกำลังบริหารงานได้แย่ลง สินทรัพย์เริ่มไม่เกิดประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะมองในแง่ดีได้ว่าสินทรัพย์ลดลงแต่ยังบริหารงานได้กำไรเท่าเดิมหรือดีขึ้น แต่สำหรับนักลงทุนในระยะยาวบางท่านอาจมองว่า ในอนาคตอาจไม่เหลือสินทรัพย์ที่มีคุณภาพพอที่จะให้ทำกำไรอีกต่อไปก็ได้ และก็คงไม่ต้องพูดถึง ROA ที่มีค่าน้อยหรือมีค่าลดลงหลาย ๆ ปีติดต่อกัน อันนี้ก็คงจะพอบ่งบอกได้ว่าบริษัทบริหารงานและสินทรัพย์ของกิจการได้ไม่ดีแน่ ๆ
ดังนั้นในการพิจารณาผลตอแทนจากการลงทุนในกิจการหรือหุ้นของบริษัทใดโดยดู ROE เป็นหลักนั้น สิ่งที่เราควรดูควบคู่ไปด้วยก็คือการดู ROA ควบคู่ไปด้วย ดูว่าสินทรัพย์นั้นมีคุณภาพ หรือบริษัทนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือไม่ มีศักยภาพในการทำกำไรรึป่าว หรือเพียงแค่ซื้อไว้ให้มูลค่าสินทรัพย์โตขึ้นเฉย ๆ แต่ว่าไม่ใช้ประโยชน์ในระยะยาว ก็จะโดนตัดค่าเสื่อมเฉย ๆ ตามระยะเวลาหรืออายุงานของสินทรัพย์นั้น ๆ อยู่ดี ในประเด็นของผู้ถือหุ้นหรือโครงสร้างหนี้ ก็คงต้องดูทั้งมูลค่า และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ให้อยู่ในระดับปลอดภัยในระยะยาว และเพียงพอต่อการสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นให้เป็นที่น่าพอใจ แค่นี้ก็น่าจะพอทำให้การวิเคราะห์งบการเงินของกิจการไม่เป็นการสุ่มเสี่ยงหรือตกหลุงพรางของบริษัทได้นะครับ
